แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บทความIT แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บทความIT แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

10 ความสุข ของโปรแกรมเมอร์

1. โปรแกรมเมอร์ เป็นงานของคนรักอิสระ
เราสามารถทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลา เพราะอินเตอร์เน็ต เราสามารถทำงานได้อย่างอิสระ มีงานให้เลือกทำมากมายในโลกออนไลน์ เว็บไซต์งาน Freelance ทั้งหลาย ส่วนใหญ่ก็เป็นงานโปรแกรมเมอร์ทั้งนั้น เช่น http://www.freelancer.com/, https://www.elance.com/
หรือถ้าไม่อยากทำงานตามสั่ง ก็ยังทำผลงานตัวเองเป็น Product ขึ้นมาขายได้อีก แถมปัจจุบันก็หาตลาดลงได้ไม่ยาก

2. โปรแกรมเมอร์ มีรายได้สูง ได้ด้วยความพยายาม
หากใครทำมาก ก็ได้มาก อันนี้ใช้ได้ตรงๆ กับอาชีพนี้เลย คนที่ขยันเรียนรู้ ขยันสร้างสรรค์อะไรออกมา มันสามารถเอาออกไปขายได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็น App Store, Play Store จะขาย หรือจะโฆษณา ก็เป็นเงินทั้งนั้น

3. โปรแกรมเมอร์ คือคนที่ขยันที่จะขี้เกียจ
โปรแกรมเมอร์มักจะหาวิธีที่ง่ายและรัดกุมที่สุดในการแก้ปัญหาเสมอ ไม่ว่าวิธีนั้นจะคิดออกมา หรือหาออกมาได้ยากขนาดไหนก็ตาม

4. โปรแกรมเมอร์ เป็นงานของคนช่างฝัน ช่างจินตนาการ

"ความคิดสร้างสรรค์" เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเรา มันเป็นตัวขับเคลื่อนจินตนาการและความฝันของเราให้เป็นจริง

5. โปรแกรมเมอร์ คือผู้สร้าง และผู้ใช้ ในเวลาเดียวกัน
ผมว่ามันคือความสุข ถ้าเราใช้เทคโนโลยี ด้วยความเข้าใจว่ามันถูกสร้างมาได้อย่างไร

6. โปรแกรมเมอร์ เป็นงานที่แทบจะไม่เหนื่อยเลย
เราคิด... เรานั่ง... เราพิมพ์... เราคลิ๊ก... งานเรามีแค่นี้แหละ ไม่เหนื่อยเลยนะ ไม่มีหยาดเหงื่อให้เห็นเลย

7. โปรแกรมเมอร์ เป็นงานที่ท้าทาย ไม่ซ้ำซาก
เราจะเจอกับปัญหาที่ไม่ซ้ำกันทุกวัน โดยจะไม่เบื่อเลยหากเป็นคนชอบแก้ปัญหา บางปัญหาถูกแก้จากการทดลองเป็นร้อยครั้ง พันครั้ง เราก็ไม่เบื่อ มันเหมือนกับเราเล่นสนุก แล้วมีความสุขตอนชนะ นั่นแหละ

8. โปรแกรมเมอร์ คือผู้สร้างความสะดวกสบาย
โปรแกรมแทบทุกตัวที่ใช้กันอยู่ทุกวันๆ นี้ มันก็ช่วยให้เราสะดวกสบายขึ้นทั้งนั่น ลองนึกๆ ดูหากเราไม่มีโปรแกรมที่เราใช้กันอยู่ปัจจุบันสักตัวเลย หลายชีวิตคงไม่ง่ายแบบนี้

9. โปรแกรมเมอร์ อยู่ในวงการของผู้มีน้ำใจงาม
สังคมโปรแกรมเมอร์ คือสังคมของการแบ่งปันจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมฟรี โปรแกรม Opensource และการให้คำปรึกษาตอบคำถามให้กันในสังคมออนไลน์อย่าง http://stackoverflow.com/ ถามอะไรไป ก็ได้คำตอบที่ดีทุกที

10. โปรแกรมเมอร์ คือปัจจุบัน และอนาคต
ปัจจุบันแทบทุกงานทุกอาชีพ ต้องใช้คอมพิวเตอร์ ต้องใช้โปรแกรม ด้วยกันทั้งนั้น แถมยังมีการเติบโตของผู้ใช้ตามบ้าน อุปกรณ์ต่างๆ อย่าง Smart Phone และ Tablet นี่มันคือยุคทองของพวกเราชัดๆ
และด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ที่เราเป็นผู้ร่วมสร้างมันขึ้นมานั้น อนาคตก็คงยังเป็นยุคของพวกเราอีกนานแสนนานเลยล่ะนะ

หากมองข้อดีของสิ่งที่กำลังทำ แล้วเห็นความสุขของสิ่งนั้น คุณก็จะทำมันได้ดีไม่ว่ามันจะยากขนาดไหนก็ตาม

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2562

สั่งเปิดเครื่องพีซี DELL ด้วย Wake-on-LAN (WOL)

โพสต์นี้ เป็นการแนะนำวิธีสั่งเปิดเครื่องพีซี Dell ด้วย Wake-on-LAN (WOL) ซึ่งเป็นการแนะนำเพิ่มเติมจากเรื่อง วิธีการสั่งเปิดเครื่องพีซี HP ด้วย Wake-on-LAN ที่ได้โพสต์ไปแล้วก่อนหน้านี้ครับ

ขั้นตอนที่ 1 เปิดฟีเจอร์ Wake-on-LAN ใน BIOS

การเปิดฟีเจอร์ Wake-on-LAN ใน BIOS เพื่อให้สามารถสั่งเปิดเครื่องพีซี Dell ด้วย Wake-on-LAN (WOL) ได้นั้น มีขั้นตอนแตกต่างกับการทำบนเครื่อง HP เล็กน้อย เพราะว่าเครื่องพีซี Dell นั้นมีการเปิด Deep Sleep Control เป็น Enabled in S4 and S5 ทำให้ไม่สามารถสั่งเปิดเครื่องด้วย Wake-on-LAN เพราะการ์ดแลนไม่ติดเมื่อปิดเครื่อง ทำให้ต้องปิดฟีเจอร์นี้ก่อน
สำหรับการตั้งค่า BIOS เครื่องพีซี Dell รุ่น OptiPlex 7440 เพื่อให้เปิดเครื่องด้วย Wake-on-LAN (WOL) มีขั้นตอนดังนี้
1. (ให้ทำการต่อสายเม้าส์ คีย์บอร์ด และจอภาพให้เรียบร้อย ก่อนลงมือ) ทำการเปิดเครื่อง จากนั้นเมื่อปรากฏโลโก้ Dell ให้กดปุ่ม F2
2. บนหน้า Settings ให้คลิกเมนู Power Management จากนั้น BIOS ดังนี้
Deep Sleep Control = Disable

Wake On LAN/WLAN = LAN Only
(ตั้งเป็น LAN & WLAN ถ้าต้องการสั่งเปิดเครื่องผ่านทาง WLAN)
4. คลิก Apply จากนั้นบนหน้า Apply Settings Confirmation ให้คลิก OK
5. เสร็จแล้วคลิก Exit

ขั้นตอนที่ 2 เปิดฟีเจอร์ Wake On Lan บนการ์ดแลน

การเปิดฟีเจอร์ Wake On Lan บนการ์ดแลนบนเครื่องพีซี Dell มีวิธีและขั้นตอนเหมือนกับการทำบนเครื่องพีวียี่ห้อ HP อ่าน วิธีเปิดฟีเจอร์ Wake On Lan บนการ์ดแลน

ขั้นตอนที่ 3 สั่งเปิดเครื่องพีซีด้วย Wake-on-LAN

หลังจากทำการตั้งค่า BIOS เครื่องพีซี Dell รุ่น OptiPlex 7440 เราก็จะสามารถทำการสั่งเปิดเครื่องด้วย Wake-on-LAN (WOL) ได้
อย่างไรก็ตาม การสั่งเปิดเครื่องพีซีด้วย Wake-on-LAN ต้องใช้โปรแกรมช่วยซึ่งมีให้เลือกใช้มากมายหลายตัว สำหรับโปรแกรมที่ผมใช้งานแล้วชื่นชอบและแนะนำให้ทดลองใช้กัน คือ โปรแกรม WakeMeOnLan ของ Nirsoft โดยผมแนะนำวิธีการใช้งานไปแล้วก่อนหน้านี้ อ่าน วิธีสั่งเปิดเครื่องพีซีด้วย WakeMeonLAN
หมายเหตุ: วิธีการในบทความนี้ผมทดสอบแล้วว่าสามารถใช้งานได้ผลบนเครื่องพีซี Dell รุ่น OptiPlex 7440 ทั้งรุ่น All-In-One และ Micro Form Factor

ที่มา:http://www.saranitus.com/2018/01/how-to-enabled-wake-on-lan-on-dell-pcs.html

สั่งเปิดเครื่องพีซี HP ด้วย Wake-on-LAN (WOL)



ก่อนหน้านี้ ผมได้แนะนำ วิธีทำให้ Computer เปิดเครื่องอัตโนมัติเมื่อเสียบปลั๊ก ให้ได้ทราบกันไปแล้ว โพสต์นี้ แต่วิธีการดังกล่าวนั้นไม่ค่อยยืดหยุ่น เพราะว่าเมื่อเสียบปลั๊กเครื่องก็จะเปิดอัตโนมัติในทันที ถึงแม้ว่าจริง ๆ แล้ว เราจะไม่ต้องการเปิดเครื่องก็ตามโพสต์นี้ผมจึงมีวิธีการที่ยืดหยุ่นกว่ามาฝาก เป็นการสั่งเปิดเครื่องพีซีด้วย Wake-on-LAN (WOL) 
Wake-on-LAN (WOL) เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้เราสามารถสั่งเครื่องพีซีผ่านทางเครือข่ายได้โดยไม่ต้องเดินไปยังหน้าเครื่องพีซีตัวนั้น ๆ อย่างไรก็ตาม ในการใช้งานนั้นจะต้องมีเงื่อนไขว่าเครื่องพีซีต้องสนับสนุนเปิดฟีเจอร์ Wake-on-LAN และต้องเปิดใช้งานใน BIOS
และมีข้อที่ควรทราบอีกอย่างคือ กรณีที่ต้องการสั่งเปิดเครื่องพีซี Windows ที่สั่งปิดเครื่อง (Shutdown) จะต้องทำการเปิดฟีเจอร์ Wake-on-LAN บนการ์ดแลนด้วยจึงจะทำงานได่้
สำหรับโพสต์นี้ เป็นการสาธิตวิธีการสั่งเปิดเครื่องพีซีด้วย Wake-on-LAN บนเครื่องพีซียี่ห้อ HP รุ่น ProDesk 600 G3 MT และรุ่น EliteOne 800 G3 ครับ
เพื่อให้ทำตามได้ง่าย ผมจะขอแบ่งการสั่งเปิดเครื่องพีซีด้วย Wake-on-LAN ออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ
1. เปิดฟีเจอร์ Wake-on-LAN ใน BIOS
2. เปิดฟีเจอร์ Wake-on-LAN บนการ์ดแลน
3. สั่งเปิดเครื่องพีซีด้วย Wake-on-LAN

ขั้นตอนที่ 1 เปิดฟีเจอร์ Wake-on-LAN ใน BIOS

การเปิด Wake-on-LAN ใน the BIOS เครื่องพีซียี่ห้อ HP รุ่น ProDesk 600 G3 MT และรุ่น EliteOne 800 G3 มีขั้นตอนดังนี้
1. (แนะนำให้ทำการต่อเครื่องสำรองไฟฟ้าให้เรียบร้อย ก่อนลงมือ) ทำการเปิดเครื่อง จากนั้นเมื่อปรากฏโลโก้ HP ให้ทำการกดปุ่ม F10
2. บนหน้า Main ให้คลิกเมนู Advanced
3. บนหน้าAdvanced ให้คลิกเลือก Built-In Device Options
4. บนหน้า Built-In Device Options ให้ตั้งค่า Wake-on-LAN เป็น Boot to Hard Drive หรือ Boot to Network
5. คลิกเมนู Main แล้วคลิก Save Changes and Exit จากนั้นคลิก Yes บนหน้า Save Changes?

ขั้นตอนที่ 2 เปิดฟีเจอร์ Wake On Lan บนการ์ดแลน

ขั้นตอนนี้ให้ทำการเปิดเครื่องเข้า Windows 10 จากนั้นลงชื่อเข้าให้เรียบร้อย แล้วทำตามขั้นตอนดังนี้
1. เปิด Device Manager โดยการคลิกขวาปุ่ม Start แล้วเลือก Device Manager หรือใช้วิธีการด้านล่าง
ค้นหาคำว่า Device ด้วย Cortana แล้ว Device Manager – Control Panel
การกดปุ่ม Windows + Brake แล้วเลือก Device Manager
2. บนหน้า Device Manager ให้คลิกหัวข้อ Network adapters
3. ภายใต้หัวข้อ Network adapters ให้คลิกขวาบนการ์ดแลนที่ต้องการ ในตัวอย่างนี้คือ Intel Ethernet Connection (5) L219-LM แล้วเลือก Properties
4. บนหน้า Properties ให้ทำการตั้งค่าดังนี้
แท็บ Advanced
ตั้งค่า Wake on Magic Packet เป็น Enabled
ตั้งค่า Wake on Pattern Match เป็น Enabled
ถ้าหากไม่มีตัวเลือก 2 ตัวนี้แสดงว่าไดรฟ์เวอร์การ์ดแลนเป็นเวอร์ชันเก่า ให้ทำการอัปเดตตามขั้นตอนในหัวข้อ “การอัปเดตไดรฟ์เวอร์การ์ดแลน”
แท็บ Power Management
ติ๊กเลือก Allow this device to wake the computer
5. เสร็จแล้วคลิก OK เพื่อบันทึกการตั้งค่า จากนั้นทำการปิด Device Manager

ขั้นตอนที่ 3 สั่งเปิดเครื่องพีซีด้วย Wake-on-LAN

ขั้นตอนนี้ เป็นการสั่งเปิดเครื่องพีซีด้วย Wake-on-LAN ซึ่งต้องหาโปรแกรมมาช่วยทำ ซึ่งถ้าเราลองค้นหา “โปรแกรมสั่งเปิดคอมพิวเตอร์ Wak on Lan” บนอินเทอร์เน็ต จะพบว่ามีโปรแกรมให้เลือกใช้งานมากมายหลายตัว แต่โปรแกรมที่ผมใช้งานแล้วชื่นชอบ (เป็นการส่วนตัว) ซึ่งจะนำมาจะแนะนำ คือ โปรแกรม WakeMeOnLan ของ Nirsoft ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ให้ดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรี
โปรแกรม WakeMeOnLan นอกจากใช้งานได้ฟรีแล้วยังมีขนาดเล็ก (เวอร์ชัน 32-บิต มีขนาด 329 KB ส่วนเวอร์ชัน 64-บิต มีขนาด 354 KB) ยังสามารถใช้งานได้ทั้งแบบกราฟิก (GUI) และแบบบรรทัดคำสั่ง (Command line) ทำให้สามารถใช้งานในแบบแบทช์ไฟล์ได้
ทั้งนี้ให้ดาวน์โหลดโปรแกรม WakeMeOnLan ให้ตรงกับเวอร์ชันของเครื่องที่จะทำการรันโปรแกรม คือถ้าใช้ Windows 10 เวอร์ชัน 32-บิต ให้ดาวน์โหลดโปรแกรมเวอร์ชัน 32-บิต ถ้าหากใช้ Windows 10 เวอร์ชัน 64-บิต ให้ดาวน์โหลดโปรแกรมเวอร์ชัน 64-บิต โดยไฟล์ที่ได้จะเป็นซิปไฟล์ ดังนั้นต้องทำการแตกไฟล์ก่อนจึงจะใช้งานได้นะครับ

การสั่งเปิดเครื่องพีซีด้วยโปรแกรม WakeMeOnLan

การใช้โปรแกรม WakeMeOnLan แบบกราฟิก นั้นทำได้ง่าย โดยเปิดโปรแกรมแล้วคลิก Scan จากนั้นคลิกเลือกเครื่องพีซีที่ต้องการแล้วเลือก Wake Up Selected Computer
กรณีต้องการสั่งเปิดคอมพิวเตอร์ Wak on Lan พร้อมกันหลายตัวให้เลือกเครื่องพีซีที่ต้องการแล้วเลือก Wake Up Selected Computer
รูปด้านล่างเป็นการสั่งเปิดเครื่ิองพีซีพร้อมกันหลายเครื่องด้วย Wake-on-LAN โดยใช้โปรแกรม WakeMeOnLan ในโหมกกราฟิก
การใช้โปรแกรม WakeMeOnLan แบบบรรทัดคำสั่ง
การใช้โปรแกรม WakeMeOnLan แบบบรรทัดคำสั่ง ให้ทำการรันโปรแกรมจากคอมมานด์พร้อมท์ตามรูปแบบด้านล่าง
WakeMeOnLan.exe /wakeup 40-65-81-A7-16-13
นอกจากนี้ ยังสามารถประยุกต์ใช้โปรแกรม WakeMeOnLan ในลักษณะแบทช์ไฟล์ได้ตามตัวอย่างด้านล่าง
WakeMeOnLan.exe /wakeup 40-65-81-A7-16-13
WakeMeOnLan.exe /wakeup 40-65-81-A7-16-23
WakeMeOnLan.exe /wakeup 40-65-81-A7-16-33
WakeMeOnLan.exe /wakeup 40-65-81-A7-16-43
WakeMeOnLan.exe /wakeup 40-65-81-A7-16-53
WakeMeOnLan.exe /wakeup 40-65-81-A7-16-63
!การใช้งานให้แทนค่า Mac address ในตัวอย่างด้วยค่า Mac address ของเครื่องพีซีจริง
สามารถศึกษาการใช้งานใช้โปรแกรม WakeMeOnLan เพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ที่ดาวน์โหลดครับ

การอัปเดตไดรฟ์เวอร์การ์ดแลนบน Windows 10

!เชื่อมต่อเครื่องพีซีกับอินเทอร์เน็ตก่อนลงมือทำครับ
กรณีที่เปิดแท็บ Advanced แล้วไม่มีออปชัน Wake on Magic Packet และ Wake on Pattern Match เราจะต้องทำการอัปเดตไดรฟ์เวอร์การ์ดแลนให้เป็นเวอร์ชันใหม่ล่าสุดก่อน ตามขั้นตอนดังนี้
1. ทำตามขั้นตอนที่ 1 และ 2 ในหัวข้อ “การเปิดฟีเจอร์ Wake On Lan บนเครื่องพีซี HP รุ่น ProDesk 600 G3 MT”
2. ภายใต้หัวข้อ Network adapters ให้คลิกขวาบนการ์ดแลนที่ต้องการ ในตัวอย่างนี้คือ Intel Ethernet Connection (5) L219-LM แล้วเลือก Update driver
3. บนหน้า Update drivers เลือก Search automatically for updated driver software แล้วรอจนการติดตั้งไดรฟ์เวอร์แล้วเสร็จ
4. เสร็จแล้วคลิก Close จากนั้นทำการปิด Device Manager
ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Wake-On-Lan บนเครื่องพีซี HP รุ่น ProDesk 600 G3 MT และ EliteOne 800 G3 พร้อมแนวทางการใช้งานโดยการใช้โปรแกรม WakeNeOnLan ของ Nirsoft ที่นำมาฝากวันนี้ครับ
 ที่มา:http://www.saranitus.com/2018/01/how-to-enabled-wake-on-lan-on-hp-pcs.html#prettyPhoto

ทำให้ Computer เปิดเครื่องอัตโนมัติเมื่อเสียบปลั๊ก






ในการให้บริการคอมพิวเตอร์ในห้องประชุมหรือห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ เราสามารถภาระงานในการต้องเดินเปิดเครื่องได้ โดยการตั้งให้คอมพิวเตอร์เปิดโดยอัตโนมัติเมื่อเสียบปลั๊กหรือเปิดสวิทช์ไฟฟ้า ซึ่งคอมพิวเตอร์แบรนด์ดัง ๆ มีฟีเจอร์เปิดเครื่องโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้จะไม่ได้ถูกเปิดใช้งานมาโดยเริ่มต้น ดังนั้นเราจะต้องทำการตั้งค่าเองผ่านทาง BIOS ครับ

ทำให้คอมพิวเตอร์เปิดเครื่องอัตโนมัติเมื่อเสียบปลั๊กหรือเปิดสวิทช์

ฟีเจอร์การตั้งให้คอมพิวเตอร์เปิดเครื่องเองเมื่อเสียบปลั๊กหรือเปิดสวิทช์นั้นแต่ละยี่ห้อจะมีชื่อเรียกแตกต่างกัน เช่น HP เรียกว่า After Power Lost ส่วน Dell เรียกว่า AC Recovery สำหรับขั้นตอนการเปิดใช้งานนั้นก็จะแตกต่างกันไปตามยี่ห้อเช่นกัน สำหรับในโพสต์นี้ผมมีตัวอย่างการทำบนเครื่องยี่ห้อพีซีและเดลล์

เดสก์ท็อปพีซี HP รุ่น ProDesk 600 G3 MT

การตั้งค่า BIOS เครื่องเดสก์ท็อป HP รุ่น ProDesk 600 G3 MT ให้เปิดเครื่องอัตโนมัติเมื่อเสียบปลั๊กหรือเปิดเบรกเกอร์ มีขั้นตอนดังนี้
1. (ให้ทำการต่อสายเม้าส์ คีย์บอร์ด และจอภาพให้เรียบร้อย ก่อนลงมือ) ทำการเปิดเครื่องจากนั้นกดปุ่ม F10
2. บนหน้า Main ให้คลิกเมนู Advanced
3. บนหน้าAdvanced ให้คลิกเลือก Boot Options
4. บนหน้า Boot Options ให้ตั้งค่า After Power Lost เป็น Power On
5. คลิกเมนู Main แล้วคลิก Save Changes and Exit จากนั้นคลิก Yes บนหน้า Save Changes

ออล-อิน-วันพีซี Dell รุ่น OptiPlex 7440 AIO

การตั้งค่า BIOS เครื่องออล-อิน-วันยี่ห้อ Dell รุ่น OptiPlex 7440 AIO ให้เปิดเครื่องอัตโนมัติเมื่อเสียบปลั๊กหรือเปิดเบรกเกอร์ มีขั้นตอนดังนี้
1. (ให้ทำการต่อสายเม้าส์ คีย์บอร์ด และจอภาพให้เรียบร้อย ก่อนลงมือ) ทำการเปิดเครื่องจากนั้นกดปุ่ม F2
2. บนหน้า Settings ให้คลิกเมนู Power Management จากนั้นคลิก AC Recovery
3. บนหน้า AC Recovery ด้านขวามือให้ติ๊กเลือก Power On เสร็จแล้วคลิก Apply
4. บนหน้า Apply Settings Configurations คลิก OK เสร็จแล้วคลิก Exit

ทดสอบการทำงาน

หลังจากทำการตั้งค่าตามขั้นตอนด้านบนแล้ว หลังจากนั้นสามารถทำการทดสอบการทำงานได้โดนการปิดเครื่องแล้วถอดปลั๊ก จากนั้นลองเสียบปลั๊ก หากไม่มีอะไรผิดพลาดคอมพิวเตอร์ก้จะเปิดเครื่องโดยอัตโนมัติ
กรณีที่คอมพิวเตอร์ก้ไม่เปิดเครื่องโดยอัตโนมัติ ให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าว่าได้ทำการตั้งค่าตามขั้นตอนด้านบนครับ

ที่มา:http://www.saranitus.com/2018/01/how-to-set-computer-to-auto-power-on-after-power-loss.html

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ทำไม DEVELOPER จำเป็นต้องมี “PRACTICE HOURS”


HOME › ทำไม DEVELOPER จำเป็นต้องมี...Practice Hours
บทความนี้เขียนโดย Stephanie Winn Provence ซึ่งเธอได้ถ่ายทอดประสบการณ์ของตนเองเกี่ยวกับว่า ทำไม Developer จำเป็นต้องมี “Practice Hours” (งานที่ทำนอกเหนือจากงานหลักเพื่อเรียนรู้/ฝึกฝนในสิ่งที่คุณต้องการ) เรามาดูกันว่าเธอทำอย่างไรบ้าง
หากคุณเป็น นักดนตรี จะรู้ว่าคุณจำเป็นต้องมีการฝึกซ้อมฝีมือ พวกเขาไม่ได้ทำเพราะเป็นศิลปิน เพื่อผู้ฟัง หรือเพื่อวง แต่พวกเขาทำเพื่อตนเอง มันเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาจะนั่งลงแล้ว Focus ถึงเทคนิค หรือเพลงที่พวกเขาอยากเรียนรู้ หรืออะไรก็ตามที่พวกเขาต้องการ และแน่นอนว่า Developer ก็ต้องการ Practice Hours ด้วยเช่นกัน
ช่วงที่ Stephanie เพิ่งเรียนรู้การ Coding ใหม่ๆ เธอใช้เวลา 60-70 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ใน Coding Bootcamp ของเธอ เธอได้เรียนรู้มากมายและเชี่ยวชาญมากขึ้นจนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่สุดท้าย เธอรู้สึกหมดไฟกับมันในที่สุด
หลังจากที่ Stephanie เรียนจบ เธอก็หยุดพักไปช่วงหนึ่ง เธอไม่ได้ทุ่มเทเวลาในการเขียน Code ไปมากมายเหมือนอย่างแต่ก่อนแล้ว จากนั้นเธอได้ทำงานเป็น Developer บริษัทที่เธอทำงานมี Open Source JavaScript framework เป็นของตัวเอง และพวกเขาก็ใช้ Craft CMS เธอใช้เวลาช่วง 2-3 เดือนแรกโดยมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้ Tools ของบริษัทเสียเป็นส่วนมาก
หลังจากที่ได้ทำงานระยะหนึ่ง เธอทราบว่ามี เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งเธอเองอยากที่จะเรียนรู้มัน และเธอยังพบอีกว่า เธอต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับ Back-end Language และพวก Concepts ต่างๆ เธอจึงตัดสินใจที่จะหา Practice Hours ให้ตัวเองจนได้
กิจวัตรของ Stephanie
Stephanie เริ่มต้นจากการ Coding Random Apps และแน่นอนว่าเธอเริ่มใช้ GitHub แต่ด้วยเหตุที่ไม่มี Project Manager หรือ Trello board เพื่อคอย Track การทำงาน มันทำให้เธอไม่สามารถทำได้ตามกำหนดที่วางไว้ได้ เธอจังหันไปใช้วิธีแบบง่ายๆ และซื้อสมุดโน้ตธรรมดาๆ สำหรับทุก Practice Session ซึ่งคุณเองสามารถทำอะไรก็ได้หรือวิธีไหนก็ได้ที่คุณจะรู้สึกดีกับมัน
Stephanie เริ่มต้นด้วยการ Review สิ่งที่ได้ทำใน Session ก่อนหน้านี้ และเขียนสิ่งที่จะ Focus สำหรับ Session ใหม่ ซึ่งโดยคร่าวๆ เธอทำตามสูตรต่อไปนี้:
วันนี้ ฉันต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับ ________________ ฉันจะอ่าน/ใช้ ______________ เพื่อช่วยในการเรียนรู้
เธอใช้การจดโน้ตในสมุด หรือใน markdown editor ในขณะที่กำลังทำงานอยู่ และเมื่อเธอทำงานเสร็จ เธอก็รู้สึกดีเกี่ยวกับสิ่งที่ได้เรียนรู้ไป เมื่อทำงานจบ Session เธอจะทำสิ่งนี้:
วันนี้ฉันได้เรียนรู้/สร้าง _______________ และฉันรู้สึก _________________
การสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว ถือว่ามีความสำคัญมาก เมื่อเธอกำลังค้นคว้าบางสิ่งบางอย่างอยู่ ความตั้งใจแรกที่วางไว้ มักจะไม่ใช่สิ่งที่เธอได้เรียนรู้จริงๆ เธอพบว่า Topic ที่เธอเลือก มักนำเธอไปสู่ Concept อื่นๆ ด้วย การเขียนความรู้สึกลงไปในทุกๆ Session ก็ถือเป็นสิ่งที่มีสำคัญต่อความก้าวหน้าเช่นกัน เธอสามารถ Track Topic ที่ทำให้รู้สึกว่า เธอได้บรรลุเป้าหมายแล้ว หรือรู้สึกสิ้นหวังกับมัน ในช่วงหลังๆ เมื่อเธอต้องการหาใครสักคนที่จะมาเพื่อช่วยให้เธอเข้าใจ Concept ได้ดีขึ้น การดู Online Tutorials จะช่วยให้คุณได้รู้และไปได้ไกลยิ่งขึ้น
วิธีเริ่มต้น Practice Hours ที่ดีที่สุดคือ เริ่มจาก Session ขนาดเล็กๆ ก่อน คุณควร Focus ว่าจะใช้เวลาทำมันนานเท่าไหร่ จนเมื่อคุณพัฒนาฝีมือจนติดเป็นนิสัยแล้ว คุณก็สามารถเพิ่มเวลาได้ เมื่อคุณพร้อมที่จะเพิ่ม Practice Hours แล้ว คุณสามารถหันไปใช้ Idea ของ Malcolm Gladwell เกี่ยวกับ กฏ 10,000 ชั่วโมงได้ โดยคุณสามารถอ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมได้จากหนังสือ Outliers ของเขา
สิ่งที่ Stephanie แนะนำ ก็คือให้พิจารณาไปที่เป้าหมาย, เวลาที่คุณมี และความตั้งใจของคุณ บวกกับ Idea 10,000 ชั่วโมงด้วย ซึ่งถือว่าเป็นส่วนผสมที่ดี ถ้าคุณเป็นประชากรส่วนน้อยที่ต้องการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยพลังและมีความสร้างสรรค์ คุณจะต้องมองในเรื่องของความเป็นจริง มุ่งมั่นเพื่อความก้าวหน้า แต่ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ ถ้าทำได้แบบนี้เชื่อว่าคุณจะสามารถบรรลุเป้าหมายของคุณได้
เพิ่มเติม : นี่เป็นตัวอย่าง คำถามสั้นๆ เกี่ยวกับ Practice schedule
1. ฉันพร้อมที่จะไปให้ถึงเป้าหมายของฉัน:
A) ต้องการไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันพร้อมที่จะทำมันแล้ว
B) ฉันก้าวเดินสายกลาง ฉันมีความทะเยอทะยาน แต่ยินดีที่จะรอผลที่จะได้รับ
C) ฉันไม่รีบ ความสำเร็จต้องใช้เวลา! มันเป็นเรื่องของการเดินทาง
2. ฉันเข้าใจว่าความสำเร็จหมายถึง:
A) Work hard, ทุ่มเทเวลาทำงาน และยินดีกลับบ้านดึก
B) ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ, ใช้เวลา และรอโอกาสดีๆ
C) ทำงานกับคนอื่นได้ดี, Focus ในระยะยาว และอยู่กับปัจจุบัน
3. ฉันต้องการอยู่ในกลุ่มคนระดับ Top:
A) 2 %
B) 25 %
C) 50 %
4. ชีวิตของฉันตอนนี้:
A) เน้นการ Focus
B) รู้สึกยุ่ง มีอะไรต้องทำหลายอย่าง
C) อยู่กับ ณ ปัจจุบัน
5. ฉันยินดีที่จะทุ่มเทและอุทิศตนเอง:
A) เพื่อทุกสิ่ง
B) ช่วงกลางคืนหลังเลิกงาน (แล้วแต่โอกาสเหมาะสม)
C) อุทิศเวลาเหรอ ไม่มีทาง!
ถ้าคำตอบส่วนใหญ่ของคุณคือ A
ยินดีด้วย คุณเป็นคนกระหายความสำเร็จ คุณเป็นคนไม่มีทางหยุดจนกว่าจะไปถึงเป้าหมาย จึงขอแนะนำคร่าวๆ ให้คุณใช้ Practice hours ประมาณ 4-5 วัน/สัปดาห์ วันละ 3-4 ชม. เชื่อว่าคุณน่าจะทำได้และคุณอาจจะทำมันมากกว่านี้ด้วยซ้ำ
ถ้าคำตอบส่วนใหญ่ของคุณคือ B
คุณเป็นคนมีแรงผลักดันและพร้อมไล่ตามเป้าหมายที่วางไว้ ขอแนะนำคร่าวๆ ให้คุณใช้ Practice hours ประมาณ 2-3 วัน/สัปดาห์ วันละ 1-2 ชม. เชื่อว่าน่าจะเหมาะกับแนวของคุณ
ถ้าคำตอบส่วนใหญ่ของคุณคือ C
คุณพร้อมที่จะก้าวสู่ความสำเร็จ คุณเดินบนเส้นทางแบบไม่เร่งรีบนัก จึงขอแนะนำแผนฝึกฝนแบบสบายๆ โดยใช้เวลา Practice hours ประมาณ 1-2 วัน/สัปดาห์ วันละ 30 นาที - 1 ชม.
ถ้าคำตอบส่วนใหญ่ของคุณเฉลี่ยๆ กันไป
ดู work schedule, project cycles และเวลาว่างของคุณ เริ่มต้นด้วยเป้าหมายขนาดเล็กก่อน แล้วพยายามสร้างความสม่ำเสมอในช่วงเวลาที่ฝึกฝน มันจะช่วยให้คุณปรับสมดุลได้เหมาะสม
หากคุณอยากก้าวหน้า Practice Hours ถือเป็นสิ่งสำคัญที่คุณควรทำควบคู่กับงานหลักของคุณ และคุณควร Focus ไปที่เป้าหมายเพื่อที่คุณจะได้ไม่ออกนอกแผนที่วางไว้

Laravel

  Laravel Framework คือ PHP Framework ตัวหนึ่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อพัฒนาเว็บแอพพลิเคชั่นต่างๆ ในรูปแบบ MVC (Model Views Controller) ซึ่งมีการแ...