แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Linux (Mint 12) แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Linux (Mint 12) แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559

ทำ Linux ให้ดูคล้าย Windows ได้ง่ายๆ ด้วย "Cinnamon"


ก่อนที่จะเข้าเรื่อง ก็ขออธิบายคร่าวๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า Desktop Environment ก่อน
"Desktop Environment" (ต่อไปนี้ขอเรียกย่อว่า DE) เป็นส่วนประกอบชนิดหนึ่งของระบบปฏิบัติการ ที่มีหน้าที่เป็น Interface สื่อสารกับผู้ใช้ ให้เราสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้ง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องมานั่งพิมพ์คำสั่งเป็นบรรทัดๆ ในแต่ละระบบปฏิบัติการเช่น Windows, Mac ก็มี DE เป็นของตัวเอง แต่ Linux นี้จะพิเศษกว่าใครๆ ก็ตรงที่มี DE หลายๆ แบบให้เลือกใช้งานกันมากมายหลายแบบ
ตัวอย่างรายชื่อของ DE ที่คนนิยมใช้กัน
- KDE
- LXDE
- XFCE
* ที่จริงมีเยอะกว่านี้ครับ แต่คัดมาเฉพาะที่นิยมกันจริงๆ เท่านั้น Cool อยากรู้รายละเอียดก็คลิกชื่อเข้าไปดูได้เลย (ใน Wikipedia)

คราวนี้ก็มาเข้าเรื่องกันดีกว่า... "Cinnamon" (หรือจะเรียกว่าอบเชยก็ได้ แล้วแต่...) เป็น DE ตัวใหม่ที่พัฒนาแตกหน่อมาจาก GNOME Shell (GNOME 3.x) โดยมีจุดประสงค์คือช่วยให้ผู้ใช้งาน Linux รู้สึกคุ้นเคยกับหน้าตาแบบเดิมๆ ที่เคยใช้อยู่ หรือให้ผู้ที่เคยใช้ OS อื่นมาก่อนใช้งานได้ง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มมากนัก ไม่เหมือนกับ DE อื่นอย่างเช่น GNOME Shell หรือ Unity ที่เหมือนจะถูกออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์พกพาเสียมากกว่า จึงทำให้ใช้งานได้ไม่ค่อยถนัดบนคอมฯ ตั้งโต๊ะธรรมดา (แต่บางคนก็ไม่ซีเรียสตรงนี้ ยังใช้มันต่อไป)
นี่คือคลิปสาธิตการใช้งาน Cinnamon แบบคร่าวๆ...
ดูคลิปกันไปแล้วก็มาดูภาพหน้าจอต่อ ทางซ้ายนี้คือ Cinnamon มาเทียบกับ Windows XP Kiss
หรือจะปรับแต่งให้เหมือน GNOME 2.x (แบบดั้งเดิมที่มี 2 แถบ) หรือ Mac ก็ทำได้ครับ Embarassed (Dock ข้างล่างจอทำด้วยโปรแกรม Docky)
~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~
เชื่อว่าตอนนี้หลายคนคงอยากใช้ Cinnamon กันแล้ว ก็มาเริ่มขั้นตอนการติดตั้งเลยครับ ก่อนอื่นก็ต้องดูว่าเราใช้ Linux ค่ายไหนอยู่ ในแต่ละค่ายก็จะมีวิธีติดตั้งแตกต่างกันไปเล็กน้อย Money mouth

# Linux Mint 12

จะมีอยู่ใน Repository ของ Mint อยู่แล้ว แค่เปิด Software Manager แล้วพิมพ์ค้นหาว่า "cinnamon" หรือจะสั่งติดตั้งในโปรแกรม Terminal ก็ได้ ด้วยคำสั่งนี้

sudo apt-get install cinnamon

# Ubuntu 11.10
ต้องเพิ่ม PPA ตามนี้ก่อนถึงจะติดตั้งแบบใน Linux Mint ได้ (คลิกเพื่อดูวิธีติดตั้งผ่าน PPA ใน Entry ก่อนหน้านี้ ที่ข้อ 7)

ppa:merlwiz79/cinnamon-ppa

# Fedora 16
ทำตามขั้นตอนในเว็บบอร์ดนี้ของ Fedora http://forums.fedoraforum.org/showthread.php?t=274611
หรือติดตั้งแบบ RPM ที่ http://repos.fedorapeople.org/repos/leigh123linux/cinnamon/

# OpenSUSE 12.1
ดูได้ที่ http://en.opensuse.org/openSUSE:GNOME_Cinnamon

ที่มา >> http://cinnamon.linuxmint.com/?page_id=61


เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วก็มาทำความรู้จักกันสักหน่อย...

เรื่องการใช้งานทั่วไปแทบจะไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เชื่อว่าถ้าคุณใช้ Windows เป็นก็คงจะใช้ Cinnamon เป็นได้เหมือนกัน เพราะมันคล้ายกันมาก เพียงแต่ Cinnamon จะมีสิ่งที่เรียกว่า "Overview" เป็นไอคอนรูป Infinity (ในรูปตัวอย่างไม่มีเพราะถูกซ่อนอยู่) เมื่อคลิกแล้วก็จะปรากฏหน้าต่างที่เราเปิดไว้ เรียงกันให้เราเห็นและเข้าถึงง่ายๆ เราสามารถเรียก Overview ด้วยวิธีอื่นได้อีก โดยการขยับเมาส์ให้ชนมุมจอซ้ายบนสุด หรือกดคีย์ลัด "Ctrl+Alt+ขึ้น (หรือลง)"

แถบข้างล่างของจอนี้เรียกว่า Panel เทียบกับ Windows แล้วก็คือ Taskbar นี่เอง จะขออธิบายไปสีละส่วนตามลำดับ เริ่มจาก...
1. Menu
 ไว้รวมชื่อโปรแกรมและคำสั่ง ตรงนี้จะมีแบ่งหมวดหมู่ของโปรแกรมอย่างชัดเจน ให้เราเข้าถึงได้ง่ายๆ หรือทำให้ง่ายได้อีกโดยการพิมพ์ค้นหา ทั้งยังสามารถเพิ่มโปรแกรมที่เราชอบใช้ให้ไปอยู่แถบ Favorites ทางซ้ายได้
...การเพิ่มไอคอนไปที่ Favorite ให้คลิกขวาที่ชื่อโปรแกรมที่ต้องการ แล้วเลือก Add to Favorite (ตัวเลือกอื่นๆ อย่าง to Panel หรือ to Desktop ก็เป็นการเพิ่มไปที่แห่งนั้น) น่าเสียดายอย่างเดียวที่คลิกลากย้ายลำดับของ Favorite ยังไม่ได้ ...หวังว่าพออัพเดทใหม่แล้ว ถึงตอนนั้นก็คงจะทำได้
2. Panel Icons
 เทียบกับ Windows ก็เหมือน Quick Launch ดีๆ นี่เอง... ใช้งานเหมือนกันเป๊ะ เพียงแต่ไม่มีการซ่อนไอคอนไว้ในลูกศรเล็กๆ ...การเพิ่มไอคอนก็ให้ทำแบบเดียวกับ Favorite ครับ แต่เลือก "Add to Panel" แทน แล้วก็เช่นเคย ใน Panel นี้ก็ลากย้ายลำดับไม่ได้เช่นกัน

3. Window List

โชว์ชื่อหน้าต่างที่เราเปิดไว้ เมื่อคลิกขวาจะมีตัวเลือก 3 ตัวนั่นคือ Close, (Un)Maximize, (Un)Minimize
4. Notification
รวบรวมไอคอนของโปรแกรมต่างๆ ที่ทำงานเบื้องหลัง

5. Panel Applet
ไว้โชว์ของที่เกี่ยวกับระบบได้แก่ ภาษาของคีย์บอร์ด ตัวปรับเสียง การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต นาฬิกา และอื่นๆ เมื่อคลิกแล้วก็จะแสดงตัวเลือกเพิ่มเติมขึ้นมา
6. Workspaces Swicther
 
พูดง่ายๆ คือเป็นหน้าจอ "เสมือน" ที่ช่วยให้เราแบ่งๆ กันเปิดโปรแกรมได้ โดยที่ไม่ไปกระจุกอยู่แค่หน้าจอเดียว Workspace นี้จะเพิ่มหน้าว่างๆ มาใหม่โดยอัตโนมัติเสมอ เมื่อเราเปิดโปรแกรมบนหน้าว่างๆ นั้น และเมื่อปิดโปรแกรมจนหน้าจอกลับมาว่างอีก Workspace นั้นก็จะถูกลบหายไปเอง
~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~

...ถ้าอยากปรับแต่ง Cinnamon ให้ลงตัวกับเรามากขึ้น นอกจากการย้ายไอคอนหรืออะไรต่างๆ แล้ว เราสามารถปรับแต่งธีม เอฟเฟค การจัดวางรูปแบบแถบ Panel และอื่นๆ ได้ผ่านทาง "Cinnamon Settings"
หมวด Panel - ไว้ตั้งค่าชื่อเมนู ตั้งค่าให้ซ่อนอัตโนมัติ และตั้งค่า Layout การจัดวางของแถบบาร์ มีให้เปลี่ยน 3 แบบ ได้แก่แถบเดี่ยวล่าง แถบเดี่ยวบน หรือแถบคู่
หมวด Calendar - ตั้งค่าปฏิทินและนาฬิกา (มีลิงค์เกี่ยวกับการใส่ Date Format ให้ดูด้วย http://www.foragoodstrftime.com/ )
หมวด Overview - ใช้ซ่อนหรือแสดงไอคอนมุมซ้ายบน และใช้เปิดหรือปิดการใช้งาน Hot Corner (คำสั่งแสดงหน้าต่างที่เราเปิดอยู่ทั้งหมดเป็นรูปเล็ก)
หมวด Themes - ใช้เปลี่ยนธีมของ Cinnamon เราสามารถเพิ่มธีมเองได้โดยใส่ไว้ใน ~/.themes (ซ่อนอยู่ใน Home Folder ของเรา กด Ctrl+H ก่อนจึงจะเห็น) หาโหลดธีมได้จากที่นี่ >> http://cinnamon-spices.linuxmint.com/themes
หมวด Effects - ปรับแต่งลูกเล่นของหน้าต่างโปรแกรมเรื่องการขยับเคลื่อนไหวต่างๆ เช่นหดเข้า หดออก เด้งดึ๋ง ฯลฯ (ที่เห็นนี้คือถูกปรับแต่งไปบ้างแล้ว)
หมวด Applets - เพิ่มหรือลดตัว Applet ที่อยู่ในแถบทางขวา
หมวด Extensions - เปิดหรือปิดการใช้งานส่วนเสริมของ Cinnamon ในกรณีที่มีติดตั้งไว้

ส่วนเรื่องการปรับแต่งไอคอน, ธีมของหน้าต่าง ให้ไปปรับที่ตัว Advanced Settings แทน วิธีปรับก็หาอ่านได้ที่ Entry ก่อนหน้านี้...
~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~


ท้ายนี้ก็ขอสรุปข้อดีข้อเสียโดยรวมของ Cinnamon เท่าที่เคยเจอมา
ข้อดี
- สวยงาม ใช้งานง่ายด้วยหน้าตาที่คล้ายกับ Windows
- เปลี่ยน Layout การจัดวางได้ 3 แบบ
- มีธีมให้เปลี่ยนอยู่พอสมควร และสามารถทำเองได้ง่ายกว่า DE อื่นๆ
- มีลูกเล่นเอฟเฟคในขณะใช้งาน ปรับแต่งได้

ข้อเสีย
- ยังคลิกลากย้ายลำดับของ Favorite กับ Panel ไม่ได้
- ไม่มีเมนูจัดเรียงหมวดหมู่โปรแกรมด้วยตนเอง
- Hot Corner อาจทำให้เรารำคาญได้ถ้าเมาส์เผลอไปโดนบ่อยๆ
- เวลาใช้ Skype หน้าต่างจะเด้งขึ้นมาเองเวลาข้อความเข้ามา รบกวนการใช้งานของเราเป็นอย่างมาก (แก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยการย้ายไป Workspace อื่น)

How To: ติดตั้ง Linux ด้วยตนเอง (ตอนที่ 2/2)




ในที่นี้เป็นการติดตั้ง Linux Mint (แบบ CD) ครับ ส่วน Linux ตัวอื่นๆ อาจจะมีวิธีติดตั้งที่แตกต่างกันไปบ้าง มีการลดหรือเพิ่มขั้นตอนไปจากนี้ แต่โดยหลักๆ แล้วก็จะทำตาม 4 ขั้นตอนหลักนี้ครับ
 
1. สั่งให้เครื่อง boot จาก CD หรือ USB
2. เลือกภาษาของ Interface
3. เลือกวิธีการติดตั้ง และที่ๆ จะติดตั้ง
4. กรอกข้อมูลของผู้ใช้ รหัสผ่าน และตัวเลือกอื่นๆ
5. ใส่ Serial Number ของตัวติดตั้ง (ล้อเล่นครับ.. Linux มันฟรี ไม่ต้องซื้อมา)
 
 
~ ~ ~ ~ ~
 
 
1. สั่งให้เครื่อง boot จาก CD หรือ USB
หลังจากที่เราได้ทำการเตรียมพื้นที่ติดตั้ง และตัวติดตั้งมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบบ CD, DVD หรือ USB ให้เราใส่แผ่น/เสียบลงไปแล้ว Restart เครื่องใหม่ ทำเหมือนกับตอนที่เราจะลง Windows แหละครับ... ตอนที่กำลังรอ Boot ให้กด F8 เพื่อเรียกหน้าจอ Boot Device (หรือปุ่มอื่นๆ ตามคู่มือ แล้วแต่ยี่ห้อเมนบอร์ด) ให้เลือกที่อุปกรณ์ CD, DVD หรือ USB แทนการ Boot จากฮาร์ดดิสก์
 
หน้าจอจะโชว์ตัวเลือกขึ้นมา ให้กด Enter ไปเลย แล้วรอสักประมาณ 1 นาที
* ถ้าหลังจากนี้พบปัญหาค้างอยู่ที่หน้าจอใดเป็นเวลานานๆ ให้ลอง Restart เครื่องใหม่แล้วเลือกเข้าเป็น Compatibility Mode แทน แต่ถ้ายังเป็นเหมือนเดิม แสดงว่าเป็นปัญหาที่ตัวติดตั้ง ให้เราไปทำตัวติดตั้งใหม่ตั้งแต่ต้น จะให้ดีเริ่มใหม่ตั้งแต่การโหลดมาเลยจะดีที่สุด
 
ตอนนี้เราจะเข้าสู่โหมด Live Session User ซึ่งในนี้เราจะลองใช้ดูและทำอะไรๆ ได้เกือบทุกอย่างเหมือนกับตอนที่ติดตั้งไปแล้ว ถ้าอยากติดตั้งเลยก็แค่ดับเบิลคลิกที่ Install Linux Mint


2. เลือกภาษาของ Interface
 
 
ตรงนี้ก็แล้วแต่ว่าอยากจะใช้งาน Linux Mint เป็นภาษาไหนนะครับ จะภาษาไทยหรืออังกฤษก็ได้ สำหรับผม ผมเลือกภาษาอังกฤษครับ เพื่อให้เข้ากันกับบางโปรแกรมที่มีแต่เมนูภาษาอังกฤษอย่างเดียว เวลาใช้งานจะได้ไม่สับสน
 
 
ถัดมาก็จะเป็นการเช็คว่าเครื่องของเราพร้อมที่จะติดตั้งหรือยัง ในนี้จะเช็คว่ามีพื้นที่ว่าบนฮาร์ดดิสก์พอหรือเปล่า กำลังต่อเน็ตอยู่มั้ย ตรงส่วนนี้คิดว่าทุกคนคงจะไม่มีปัญหาใดๆ อยู่แล้ว ก็กด Next ไปได้เลย
* ความจริงแล้วถึงไม่ได้ต่อเน็ตอยู่ก็ยังสามารถติดตั้งให้เสร็จได้ แต่อาจจะเสร็จแบบไม่สมบูรณ์นัก (ถึงกระนั้นก็ยังพอใช้งานได้) ทางที่ดีก็ต่อไว้แล้วกันครับ เผื่อไว้ให้เครื่องโหลดไดรเวอร์และตัว Codec ของเพลงกับหนัง
 

3. เลือกวิธีการติดตั้ง และที่ๆ จะติดตั้ง
เป็นขั้นตอนที่สำคัญและควรระมัดระวังในการทำเป็นอย่างมาก เนื่องจากถ้าเราเลือกขั้นตอนและกด Install ไปแล้วเกิดผิดพลาดไป จะเลิกทำแล้วย้อนกลับมาอีกก็ไม่ได้แล้ว Frown
 
ในหน้านี้ก็จะมีตัวเลือกอยู่ 3 ข้อ แปลตามความเข้าใจของผมได้ดังนี้...

- ติดตั้งคู่กับ OS เดิม (Windows, Mac ฯลฯ)
ข้อมูลทุกอย่างบนเครื่องจะยังคงอยู่ Linux จะถูกติดตั้งลงไปในส่วนพื้นที่ว่างของฮาร์ดดิลส์ที่ยังไม่ทำ Partition หรือถ้าโดนทำไปแล้วทั้งหมด มันก็จะขอแบ่งส่วนจาก Partition ที่เหลือที่ว่างมากที่สุดแทน (เรากำหนดพื้นที่ให้มันได้) หลังจากติดตั้งเสร็จ เวลาเปิดเครื่องมาก็จะมีหน้าจอให้เลือกว่าจะเข้า OS ไหน

- ติดตั้งลงไปแทนที่ OS เดิม
เป็นตัวเลือกที่ขอบอกได้ว่า ถ้าไม่มั่นใจจริงๆ อย่าใช้ เพราะตอนติดตั้งใช่ว่ามันจะลบแค่เฉพาะตัว OS เดิม มันจะทำการลบข้อมูลทุกอย่างในเครื่องหมด!! ตรงนี้ก็ยังไม่ทราบว่ามีตัวเลือกนี้เพื่ออะไร เอาเป็นว่ามือใหม่ให้หลีกเลี่ยงไว้ก่อนแล้วกัน (จขบ. เคยโดนมาแล้วด้วยความไม่รู้ ข้อมูลหายเกลี้ยงไม่ว่าไดรฟ์ไหนๆ Tongue out )

- กำหนดการติดตั้งเอง
วิธีนี้ดูจะยุ่งยากสุดในสายตามือใหม่ แต่นี่แหละครับเป็นตัวเลือกที่เซฟๆ ที่สุดแล้วถ้าใช้เป็น แล้วก็เป็นวิธีที่ผมจะมาเสนอในขั้นตอนนี้ Cool
 
คลิกเลือก "Something else" แล้วจะขึ้นหน้านี้มา แสดงให้เห็น partition ในฮาร์ดดิสก์ของเรา ให้คลิกเลือกที่ free space ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เราได้เตรียมไว้จากตอนที่ 1/2 (Entry ที่แล้ว) คลิก Add...
 
ให้เลือกตามนี้แล้วคลิก OK
 
Partition ที่เราเลือกไว้ก็พร้อมที่จะติดตั้งได้ในทันที คลิกที่ Install Now ได้เลยครับ


4. กรอกข้อมูลของผู้ใช้ รหัสผ่าน และตัวเลือกอื่นๆ

ขั้นตอนนี้ก็สำคัญไม่แพ้กัน ให้กรอกไปตามจริงจะดีที่สุด โดยเฉพาะตอนตั้งชื่อและรหัสผ่านจะสำคัญมาก เพราะรหัสจะได้ใช้บ่อยแน่ๆ เวลาจะทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับระบบใน Linux เช่นการติดตั้ง, ถอนโปรแกรม เปลี่ยนแปลงการตั้งค่า หรืออัพเดทสิ่งต่างๆ เป็นต้น
 
ประเทศ เมืองหลวงที่อยู่ของคุณ ปกติเครื่องของเราก็จะเลือกให้เองโดยอัตโนมัติ ตามประเทศที่เราอยู่ ถ้าเครื่องไม่ได้เลือกให้ก็พิมพ์ชื่อเมืองลงไปเอง
 
ภาษาที่ใช้บนคีย์บอร์ด ให้เลือกตามในรูปได้เลยครับถ้าเครื่องไม่ได้เลือกให้เราอีก ช่องยาวๆ ข้างล่างมีไว้สำหรับทดสอบการพิมพ์ ตอนนี้จะยังสลับภาษาได้แค่วิธีกด Alt+Shift เท่านั้น 
 
ตั้งชื่อและรหัสผ่าน อย่างที่ได้บอกไปในหัวข้อว่าสำคัญมาก ระบบจะไม่ให้เราเว้นว่างหรือข้ามไปขั้นตอนถัดไปได้เลย ต้องใส่ให้ครบถ้วนและถูกต้อง บรรทัดแรกให้ใส่ชื่อเรา บรรทัดที่สองจะเป็นชื่อเครื่อง ให้เปลี่ยนจาก (ชื่อคุณ)-system-product-name เป็นชื่อที่ต้องการ บรรทัดต่อมา Username ให้ใส่ชื่อเป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด ต่อมาก็เป็นรหัสผ่าน ใส่ให้เหมือนกันทั้งสองช่อง ตัวเลือกข้างล่างนี้ให้เราเลือกได้ว่าจะให้เครื่อง Login เข้าเองได้ หรือให้ถามชื่อกับรหัสผ่านก่อนทุกครั้ง ส่วนตัวเลือก Encrypt my home folder จะเป็นการเข้ารหัส Folder ส่วนตัวของ User เราไว้ จะเลือกหรือไม่เลือกก็ได้ (สำหรับมือใหม่ แนะนำว่าไม่ต้องเลือก) เสร็จแล้วก็ Continue ต่อไป
 
นำเข้าการตั้งค่าต่างๆ จาก OS อื่นในเครื่อง ถ้าเลือกไว้ การตั้งค่าต่างๆ ของโปรแกรมที่มีอยู่ใน OS เดิมบางตัวจะถูกพามาใช้ใน Linux ด้วย จะเลือกหรือไม่เลือกก็ได้ สำหรับผมจะปล่อยว่างไว้ (เพราะไม่ค่อยได้ใช้ Windows) คลิก Continue ครั้งสุดท้ายแล้วรอให้ติดตั้งเสร็จ
 
ระหว่างรอ ก็จะมีหน้าจอ Welcome ดังรูปมาให้เราดูเล่น คอยนำเสนอสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับการใช้ Linux ให้เราทราบ
 
.
.
.
 
ติดตั้งเสร็จแล้ว ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็จะขึ้นข้อความมาตามรูป เลือกได้ว่าจะขออยู่ทดสอบใน Live Session ต่อไป หรือจะ Restart เครื่องเพื่อใช้ Linux ที่เพิ่งติดตั้งไปโดยทันที แน่นอนครับว่าต้อง Restart อยู่แล้ว ก่อนเครื่องจะ Restart จะมีข้อความบอกให้เราเอาตัวติดตั้งออกก่อน เอาออกแล้วก็กด Enter
 
 
~ ~ ~ ~ ~
 
 
ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย สำหรับการติดตั้ง Linux ง่ายมั้ยครับ...

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

.
.
.
อะไรนะ?? ยังไม่เข้าใจ ยังมีข้อสงสัย ยังคิดว่ายากอยู่... หรือว่ามีปัญหาขณะติดตั้ง??

ไม่เป็นไรครับ ถามผมมาได้เลย แล้วผมจะตอบให้ใน Entry นี้แน่นอน เจอกันคราวหน้าจะเป็นการบอกเล่าถึงสิ่งที่ผมทำ หลังจากติดตั้งไปใหม่ๆ ครับ (ที่จริงก็ติดตั้งไปค่อนข้างนานแล้ว ขอเวลาไปรื้อฟื้น นึกดูก่อน...)

How To: ติดตั้ง Linux ด้วยตนเอง (ตอนที่ 1/2)


จาก Entry ที่แล้ว คิดว่าบางคนคงจะอยากใช้ Linux แล้วใช่มั้ยครับ คงเลือกได้แล้วว่าจะใช้ตัวไหน หรือถ้าคุณยังตัดสินใจไม่ได้ แนะนำว่าให้ดูใน Distrowatch.com ในส่วนของตาราง Top 100 เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนก็ได้ครับ Kiss



เวลา นี้ Distro ที่คนทั้งโลกให้ความสนใจกันก็ตามนี้แหละครับ ในที่นี้ก็จะขอใช้ Mint เป็นตัวอย่างในการติดตั้ง Linux นะครับ (ความจริงก็เป็นตัวที่ จขบ. กำลังใช้อยู่เหมือนกัน Smile )
 
 
ก่อนอื่นเราต้องมีสิ่งเหล่านี้ก่อน ไว้ใช้สำหรับทำตัวติดตั้ง Linux ขึ้นมา

1. สื่อบันทึกข้อมูล (เป็น CD, DVD หรือแฟลชไดรฟ์)

2.1 โปรแกรมเขียนข้อมูลลงแผ่น (เช่น Nero, IMGBurn, InfraRecorder ฯลฯ)
หรือ...
2.2 โปรแกรม Unetbootin ใช้ทำแฟลชไดรฟ์ให้เป็นตัวติดตั้ง

3. ไฟล์ .iso ของตัวติดตั้ง Linux (Distro อะไรก็แล้วแต่คุณเลือก)
เพิ่ม เติม: ตอนจะโหลดตัวติดตั้ง ไม่ว่าจะโหลดจากเว็บไหนก็ให้ดูก่อนด้วยครับว่า เป็นประเภท 32 หรือ 64 bit เครื่องของคุณเป็นประเภทไหนก็ให้เลือกตัวติดตั้งประเภทนั้น โดยที่แบบ 32 บิท จะเข้ากันได้ทั้งเครื่องที่เป็น 32 หรือ 64 bit (เครื่อง 64 bit ใช้แบบ 32 bit ได้ แต่จะทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพของเครื่อง) ส่วนแบบ 64 bit จะใช้ได้บนเครื่องที่เป็น 64 bit เท่านั้น (แหงล่ะ...)

4. พื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ ที่คุณจะติดตั้งลงไป โดยมากแล้วจะใช้อย่างน้อย 4 GB ขึ้นไป

...ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มทำตัวติดตั้งเลยครับ Cool
 
~ ~ ~ ~ ~

# สำหรับคนที่ใช้ CD ติดตั้ง
ง่ายดายมากๆ เพียงแค่ใช้โปรแกรมเขียนแผ่นที่คุณมี เขียนในโหมด "Burn Image to Disk" (หรืออะไรทำนองนี้ แล้วแต่โปรแกรม) เลือกไฟล์ .iso ของตัวติดตั้ง Linux จากนั้นก็สั่งเขียนแผ่นเลย ถ้าจะให้ดีควรจำกัดความเร็วไว้ด้วยสัก 16-32x (หรือต่ำสุดเลยยิ่งดี) เพื่อลดโอกาสไฟล์เสียหาย

ในตัวอย่างนี้ผมใช้ InfraRecorder บน Windows เขียนเอาครับ
ใส่แผ่นในถาด เปิดโปรแกรม แล้วเลือก Write Image
 
เลือกไฟล์ .iso ที่ต้องการ
 
ตั้งค่าความเร็ว แล้วกด Burn รอจนเขียนเสร็จ
 
...ง่ายดายมาก Cry
 

# สำหรับคนที่ติดตั้งผ่าน USB
ก่อนอื่นก็โหลดโปรแกรม Unetbootin จากเว็บนี้มาก่อน >> unetbootin.sourceforge.net ...โหลดเสร็จก็เปิดขึ้นมาได้เลยแบบไม่ต้องติดตั้ง
 
 
เปิดขึ้นมาก็จะโผล่หน้าต่างนี้ ตั้งค่าตามนี้แล้วกด OK
 
รอจนเสร็จ ประมาณ 3-5 นาที (ขึ้นอยู่กับขนาดของตัวติดตั้ง)
 
เสร็จแล้ว... ก็กด Exit
 
~ ~ ~ ~ ~

การเตรียมพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ ไว้ใช้สำหรับการติดตั้ง 
คำเตือน: ก่อนจะทำ ต้องสำรองข้อมูลที่มีอยู่ในแต่ละ Partition ซะก่อน มิเช่นนั้นอาจต้องมาไว้อาลัยให้กับข้อมูลที่เผลอทำสูญหายไป (จขบ. เคยโดนมาแล้ว 2 ครั้งเพราะไม่รอบคอบ... Tongue out ) จะให้ดีก็สำรองไว้ในฮาร์ดดิสก์แบบต่อนอก (External HDD) ไปเลย

โปรแกรมที่ผมชอบใช้จัดการ Partition เป็นของ Minitool ชื่อ "Partition Wizard: Home Edition" ในที่นี้จะเป็นการล้าง Partition ทั้งหน่วย
 
 
เปิดโปรแกรมขึ้นมา จะขึ้นหน้าตาแบบนี้
 
คลิกขวาที่ Partition ที่ต้องการจะลบ แล้วเลือก Delete
 
คลิกขวาที่ตัวฮาร์ดดิสก์ เลือก Rebuild MBR
* ขั้นตอนนี้ จะทำหรือไม่ทำก็ได้... ถ้าเป็นการลบ Linux ตัวเดิมทิ้งเพื่อลงใหม่ ทำขั้นตอนนี้ไว้ก็ดี เผื่อมีปัญหาอะไรจนต้องกลับมาใช้วินโดวส์ จะได้บูตเข้าใช้ได้
 
กด Apply สั่งให้โปรแกรมเริ่มทำงาน ต้องแน่ใจก่อนว่าไม่มีอไรผิดพลาดแล้ว
 
แล้วก็จะได้พื้นที่ว่าง ไว้ใช้สำหรับลง Linux ต่อไป
 

Laravel

  Laravel Framework คือ PHP Framework ตัวหนึ่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อพัฒนาเว็บแอพพลิเคชั่นต่างๆ ในรูปแบบ MVC (Model Views Controller) ซึ่งมีการแ...