วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ทำไม DEVELOPER จำเป็นต้องมี “PRACTICE HOURS”


HOME › ทำไม DEVELOPER จำเป็นต้องมี...Practice Hours
บทความนี้เขียนโดย Stephanie Winn Provence ซึ่งเธอได้ถ่ายทอดประสบการณ์ของตนเองเกี่ยวกับว่า ทำไม Developer จำเป็นต้องมี “Practice Hours” (งานที่ทำนอกเหนือจากงานหลักเพื่อเรียนรู้/ฝึกฝนในสิ่งที่คุณต้องการ) เรามาดูกันว่าเธอทำอย่างไรบ้าง
หากคุณเป็น นักดนตรี จะรู้ว่าคุณจำเป็นต้องมีการฝึกซ้อมฝีมือ พวกเขาไม่ได้ทำเพราะเป็นศิลปิน เพื่อผู้ฟัง หรือเพื่อวง แต่พวกเขาทำเพื่อตนเอง มันเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาจะนั่งลงแล้ว Focus ถึงเทคนิค หรือเพลงที่พวกเขาอยากเรียนรู้ หรืออะไรก็ตามที่พวกเขาต้องการ และแน่นอนว่า Developer ก็ต้องการ Practice Hours ด้วยเช่นกัน
ช่วงที่ Stephanie เพิ่งเรียนรู้การ Coding ใหม่ๆ เธอใช้เวลา 60-70 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ใน Coding Bootcamp ของเธอ เธอได้เรียนรู้มากมายและเชี่ยวชาญมากขึ้นจนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่สุดท้าย เธอรู้สึกหมดไฟกับมันในที่สุด
หลังจากที่ Stephanie เรียนจบ เธอก็หยุดพักไปช่วงหนึ่ง เธอไม่ได้ทุ่มเทเวลาในการเขียน Code ไปมากมายเหมือนอย่างแต่ก่อนแล้ว จากนั้นเธอได้ทำงานเป็น Developer บริษัทที่เธอทำงานมี Open Source JavaScript framework เป็นของตัวเอง และพวกเขาก็ใช้ Craft CMS เธอใช้เวลาช่วง 2-3 เดือนแรกโดยมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้ Tools ของบริษัทเสียเป็นส่วนมาก
หลังจากที่ได้ทำงานระยะหนึ่ง เธอทราบว่ามี เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งเธอเองอยากที่จะเรียนรู้มัน และเธอยังพบอีกว่า เธอต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับ Back-end Language และพวก Concepts ต่างๆ เธอจึงตัดสินใจที่จะหา Practice Hours ให้ตัวเองจนได้
กิจวัตรของ Stephanie
Stephanie เริ่มต้นจากการ Coding Random Apps และแน่นอนว่าเธอเริ่มใช้ GitHub แต่ด้วยเหตุที่ไม่มี Project Manager หรือ Trello board เพื่อคอย Track การทำงาน มันทำให้เธอไม่สามารถทำได้ตามกำหนดที่วางไว้ได้ เธอจังหันไปใช้วิธีแบบง่ายๆ และซื้อสมุดโน้ตธรรมดาๆ สำหรับทุก Practice Session ซึ่งคุณเองสามารถทำอะไรก็ได้หรือวิธีไหนก็ได้ที่คุณจะรู้สึกดีกับมัน
Stephanie เริ่มต้นด้วยการ Review สิ่งที่ได้ทำใน Session ก่อนหน้านี้ และเขียนสิ่งที่จะ Focus สำหรับ Session ใหม่ ซึ่งโดยคร่าวๆ เธอทำตามสูตรต่อไปนี้:
วันนี้ ฉันต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับ ________________ ฉันจะอ่าน/ใช้ ______________ เพื่อช่วยในการเรียนรู้
เธอใช้การจดโน้ตในสมุด หรือใน markdown editor ในขณะที่กำลังทำงานอยู่ และเมื่อเธอทำงานเสร็จ เธอก็รู้สึกดีเกี่ยวกับสิ่งที่ได้เรียนรู้ไป เมื่อทำงานจบ Session เธอจะทำสิ่งนี้:
วันนี้ฉันได้เรียนรู้/สร้าง _______________ และฉันรู้สึก _________________
การสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว ถือว่ามีความสำคัญมาก เมื่อเธอกำลังค้นคว้าบางสิ่งบางอย่างอยู่ ความตั้งใจแรกที่วางไว้ มักจะไม่ใช่สิ่งที่เธอได้เรียนรู้จริงๆ เธอพบว่า Topic ที่เธอเลือก มักนำเธอไปสู่ Concept อื่นๆ ด้วย การเขียนความรู้สึกลงไปในทุกๆ Session ก็ถือเป็นสิ่งที่มีสำคัญต่อความก้าวหน้าเช่นกัน เธอสามารถ Track Topic ที่ทำให้รู้สึกว่า เธอได้บรรลุเป้าหมายแล้ว หรือรู้สึกสิ้นหวังกับมัน ในช่วงหลังๆ เมื่อเธอต้องการหาใครสักคนที่จะมาเพื่อช่วยให้เธอเข้าใจ Concept ได้ดีขึ้น การดู Online Tutorials จะช่วยให้คุณได้รู้และไปได้ไกลยิ่งขึ้น
วิธีเริ่มต้น Practice Hours ที่ดีที่สุดคือ เริ่มจาก Session ขนาดเล็กๆ ก่อน คุณควร Focus ว่าจะใช้เวลาทำมันนานเท่าไหร่ จนเมื่อคุณพัฒนาฝีมือจนติดเป็นนิสัยแล้ว คุณก็สามารถเพิ่มเวลาได้ เมื่อคุณพร้อมที่จะเพิ่ม Practice Hours แล้ว คุณสามารถหันไปใช้ Idea ของ Malcolm Gladwell เกี่ยวกับ กฏ 10,000 ชั่วโมงได้ โดยคุณสามารถอ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมได้จากหนังสือ Outliers ของเขา
สิ่งที่ Stephanie แนะนำ ก็คือให้พิจารณาไปที่เป้าหมาย, เวลาที่คุณมี และความตั้งใจของคุณ บวกกับ Idea 10,000 ชั่วโมงด้วย ซึ่งถือว่าเป็นส่วนผสมที่ดี ถ้าคุณเป็นประชากรส่วนน้อยที่ต้องการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยพลังและมีความสร้างสรรค์ คุณจะต้องมองในเรื่องของความเป็นจริง มุ่งมั่นเพื่อความก้าวหน้า แต่ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ ถ้าทำได้แบบนี้เชื่อว่าคุณจะสามารถบรรลุเป้าหมายของคุณได้
เพิ่มเติม : นี่เป็นตัวอย่าง คำถามสั้นๆ เกี่ยวกับ Practice schedule
1. ฉันพร้อมที่จะไปให้ถึงเป้าหมายของฉัน:
A) ต้องการไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันพร้อมที่จะทำมันแล้ว
B) ฉันก้าวเดินสายกลาง ฉันมีความทะเยอทะยาน แต่ยินดีที่จะรอผลที่จะได้รับ
C) ฉันไม่รีบ ความสำเร็จต้องใช้เวลา! มันเป็นเรื่องของการเดินทาง
2. ฉันเข้าใจว่าความสำเร็จหมายถึง:
A) Work hard, ทุ่มเทเวลาทำงาน และยินดีกลับบ้านดึก
B) ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ, ใช้เวลา และรอโอกาสดีๆ
C) ทำงานกับคนอื่นได้ดี, Focus ในระยะยาว และอยู่กับปัจจุบัน
3. ฉันต้องการอยู่ในกลุ่มคนระดับ Top:
A) 2 %
B) 25 %
C) 50 %
4. ชีวิตของฉันตอนนี้:
A) เน้นการ Focus
B) รู้สึกยุ่ง มีอะไรต้องทำหลายอย่าง
C) อยู่กับ ณ ปัจจุบัน
5. ฉันยินดีที่จะทุ่มเทและอุทิศตนเอง:
A) เพื่อทุกสิ่ง
B) ช่วงกลางคืนหลังเลิกงาน (แล้วแต่โอกาสเหมาะสม)
C) อุทิศเวลาเหรอ ไม่มีทาง!
ถ้าคำตอบส่วนใหญ่ของคุณคือ A
ยินดีด้วย คุณเป็นคนกระหายความสำเร็จ คุณเป็นคนไม่มีทางหยุดจนกว่าจะไปถึงเป้าหมาย จึงขอแนะนำคร่าวๆ ให้คุณใช้ Practice hours ประมาณ 4-5 วัน/สัปดาห์ วันละ 3-4 ชม. เชื่อว่าคุณน่าจะทำได้และคุณอาจจะทำมันมากกว่านี้ด้วยซ้ำ
ถ้าคำตอบส่วนใหญ่ของคุณคือ B
คุณเป็นคนมีแรงผลักดันและพร้อมไล่ตามเป้าหมายที่วางไว้ ขอแนะนำคร่าวๆ ให้คุณใช้ Practice hours ประมาณ 2-3 วัน/สัปดาห์ วันละ 1-2 ชม. เชื่อว่าน่าจะเหมาะกับแนวของคุณ
ถ้าคำตอบส่วนใหญ่ของคุณคือ C
คุณพร้อมที่จะก้าวสู่ความสำเร็จ คุณเดินบนเส้นทางแบบไม่เร่งรีบนัก จึงขอแนะนำแผนฝึกฝนแบบสบายๆ โดยใช้เวลา Practice hours ประมาณ 1-2 วัน/สัปดาห์ วันละ 30 นาที - 1 ชม.
ถ้าคำตอบส่วนใหญ่ของคุณเฉลี่ยๆ กันไป
ดู work schedule, project cycles และเวลาว่างของคุณ เริ่มต้นด้วยเป้าหมายขนาดเล็กก่อน แล้วพยายามสร้างความสม่ำเสมอในช่วงเวลาที่ฝึกฝน มันจะช่วยให้คุณปรับสมดุลได้เหมาะสม
หากคุณอยากก้าวหน้า Practice Hours ถือเป็นสิ่งสำคัญที่คุณควรทำควบคู่กับงานหลักของคุณ และคุณควร Focus ไปที่เป้าหมายเพื่อที่คุณจะได้ไม่ออกนอกแผนที่วางไว้

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2561

Shortcut ที่ควรรู้ของ VirtualBox

  • เมื่อเราเข้าสู่ scale mode ผ่านเมนูบาร์ของหน้าต่างแรกที่แสดง
  • ไง๋ scale mode มันทำเมนูบาร์หายไปซะงั้น
  • เราสามารถออกจาก scale modeได้โดยคีย์ลัด Host + C (ปุ่ม Host ในที่นี้คือ Ctrl ด้านขวาของคีย์บอร์ด) มันจะออกไปสู่ scale mode เข้าสู่ mode ปกติ
  • หรือ เราอยากจะอยู่ใน scale mode แต่อยากเรียกใช้ menu bar สามารถให้ vbox แสดงได้โดยกดปุ่ม  Host + Home
  • สรุปคือ เราเข้าโหมดอะไร ด้วย คีย์ลัดอะไร เราก็กดปุ่มเดิม เพื่อออกจากโหมดนั้น

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561

ภาษายอดนิยมสำหรับเรียนเขียนโปรแกรม 2018

ภาษายอดนิยมสำหรับเรียนเขียนโปรแกรม 2018

ภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมมีการพัฒนาค่อนข้างรวดเร็วภาษาใหม่จะแทนที่ภาษาเก่า ข้อมูลนี้ได้จากการวิเคราะห์สถิติจากเว็บไซต์ Stackoverflow ที่ทุกปีจะจัดทำรายงานเกี่ยวกับภาษาโปรแกรมที่เป็นที่นิยมมากที่สุด โดยมีการสำรวจที่เกี่ยวข้องกับนักพัฒนาซอฟต์แวร์กว่า 50,000 รายจากทั่วโลก

Javascript

นี่คือหนึ่งในภาษาาหรับการเขียนโปรแกรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เป็นภาษาข้ามแพลตฟอร์มมากที่สุดซึ่งจะช่วยให้สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันเดสก์ท็อปเว็บและอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้

SQL

การเขียนโปรแกรมนี้ถูกใช้เพื่อจัดการข้อมูลในฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ SQL เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับการออกแบบฐานข้อมูลเว็บไซต์ส่วนใหญ่ ไม่ว่าคุณต้องการหรือไม่ แต่คุณจำเป็นต้องรู้พื้นฐานของ SQL

Java

เป็นที่นิยมมากในอุตสาหกรรมการเงินและการธนาคาร เนื่องจากความเร็วและระดับความปลอดภัย นักพัฒนาภาษา Java ขาดแคลนมากในตลาดแรงงาน เนื่องจากการเขียนโปรแกรมนี้ ค่อนข้างยาก และไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผู้เริ่มต้น แต่เหตุผลที่ทำให้ภาษา Java เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะ Java ใช้พัฒนาแอพพลิเคชั่น Android ได้

C#

หนึ่งในภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมขั้นสูง เป็นภาษาพัฒนาหลักสำหรับแพลตฟอร์ม Microsoft .NET ภาษา C# คล้ายกับ Java มาก แต่ C# ยากกว่า Java และไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลยสำหรับผู้เริ่มต้น

Python

เมื่อไม่นานมานี้ PHP เคยได้รับความนิยมมากกว่า Python แต่ตอนนี้มั่นใจได้เลยที่จะบอกว่า Python กำลังได้รับความไว้วางใจจากนักพัฒนารุ่นใหม่ มีข้อดีมากมายแลัไม่ซับซ้อน จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับผู้ริ่มต้น

PHP

ภาษาโปรแกรมที่ใช้มากที่สุดสำหรับส่วนของเซิร์ฟเวอร์ ตามสถิติ PHP ใช้ประมาณ 240 ล้านเว็บไซต์ PHP มีความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพดี มี framework มากมายที่พัฒนาขึ้นสำหรับ PHP มีความรวดเร็วและปลอดภัยสูง Framework ที่ได้รับความนิยมสำหรับพัฒนาเว็บไซต์ เช่น Laravel, Yii แต่ข้อเสียหลักคือ ขาดความสามารถในการพัฒนาแอ็พพลิเคชันบนเดสก์ท็อป

C++

หนึ่งในภาษาโปรแกรมที่ซับซ้อนมากที่สุด เป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับมือใหม่และมักจะพยายามหลักเลี่ยง แต่ C++ มีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้คุณสามารถสร้างแอปพลิเคชันและโปรแกรมได้อย่างครบถ้วน
TypeScript
ได้รับการพัฒนาโดย Microsoft ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในระยะเวลาอันสั้นเมื่อปีที่ผ่านมา เป็นภาษาที่มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ โดยยึดโครงสร้างตามหลักของ Javascript ผู้สร้าง TypeScript ยังคงมีการพัฒนาและเพิ่มทางเลือกใหม่ๆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกสบาย หากคุณเป็นมือใหม่คุณควรใส่ใจกับมันเพราะ TypeScript จะได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในปี 2018

Ruby

นี่คือภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP) ที่มีความจำเป็นเชิงพลวัต มันถูกใช้ร่วมกับ Rails Framework ในการพัฒนาเว็บไซต์ ซึ่ง Ruby เป็นภาษาระดับสูงมาก แต่มีไวยากรณ์ที่เรียบง่ายและสะอาด Ruby มีความยืดหยุ่นที่ดีและดูแลรักษาง่าย เป็นภาษาที่ผู้เริ่มต้นสามารถเรียนรู้ได้ง่าย คล้ายกับ PHP เหมาะดีสำหรับการพัฒนาที่ซับซ้อนบน eCommerce platforms ข้อเสียหลักคือไม่มีคู่มือที่ดีและเติบโตช้า

Swift

ภาษานี้ได้รับการพัฒนาโดย Apple และมีจุดมุ่งหมายเพื่อแทนที่ Objective-C ซึ่ง Swift ได้มีการปรับปรุงการอ่าน Code และเพิ่มคุณสมบัติให้มากขึ้นกว่าเมื่อเทียบกับ Objective-C และยังเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งกำลังได้รับความนิยมและตอนนี้ก็มากกว่า Objective-C ภาษาเขียนโปรแกรมนี้มีแนวโน้มดี

Objective-C

ภาษานี้ได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 นี่คือภาษาที่ได้รับการพัฒนาจากภาษา C และ Smalltalk มันประสบความสำเร็จอย่างมากในขณะนี้ แต่ค่อยๆ เริ่มที่จะสูญเสียความนิยม โดย Swift ได้เข้ามาแทนที่ภาษานี้

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2561

ทำไมต้องเขียน JavaScript

ทำไมต้องเขียน JavaScript
ส่วนตัวแล้วผมเพิ่งมีประสบการณ์นการเขียน JavaScript แบบจริงๆจังๆ ได้แค่ 2 ปี แต่ก็ติดใจชนิดที่เรียกว่ามีโปรเจคไหนก็พยาม Convince ทีมหรือลูกค้าให้ใช้ JavaScript ได้ด้วยเถิด เหตุผลหลักในการเลือกภาษาใหม่สำหรับตัวเองจากที่เคยพัฒนาด้วย .NET เป็นหลัก มาใช้ภาษาอื่นผมตัดสินใจด้วยเหตุผล ดังต่อไปนี้

  • Cross platform - รองรับได้ทุกระบบปฏิบัติการ (ที่นิยมใช้)
  • Wide community - มีการใช้อย่างแพร่หลาย ศึกษาหาข้อมูลได้ง่าย
  • Support no-sql - รองรับการใช้งาน No-SQL
  • Free - ไม่มีค่าใช้จ่าย
  • Standard - เป็นมาตรฐานที่สากลยอมรับ
ก่อนเลือกภาษา JavaScript ผมลองมาหลายภาษาอย่าง Java , Scala , Ruby , Python แต่ที่คิดว่าถูกจริตของผมมากที่สุด ก็คือภาษา JavaScript มันมี Library มากมายที่สามารถช่วยงานผมในการนำไปพัฒนาซอฟท์แวร์ได้ทุกอย่างเลยทีเดียว มีเยอะชนิดว่าเป็นปัญหาเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว
สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะได้จากการจัดงานและการทำพรีเซนเทชั่นก็คือ เรามักจะได้ความรู้อะไรใหม่ๆเสมอ อย่างก่อนจัดงาน ก็ทำ Slide แล้วหาข้อมูลเกี่ยวกับ 
Cross Plaform ของ JavaScript ก็พบว่าเจอของใหม่เข้าแล้ว นี่เลยครับ NativeScript เขียน JavaScript แล้วแปลงเป็น IOS , Android , Window Phone (Comming Soon) ไม่ได้เป็น Web View นะครับ ย้ำครับย้ำ โอ้วบระจ้าว มันยอดมาก
Wide Community
หากลองเข้าเว็บ www.githut.info จะพบว่า JavaScript จะมีการ Commit ขึ้น Github มากที่สุด ข้อมูล ณ วันที่ 18 กค 2558 และจากประสบการณ์ตรงของผมเองและสอบถามผู้ฟังในงาน ไม่มีเว็บแอพโปรเจคไหนที่ไม่มี JavaScript ปะปนอยู่ในโค้ดเลย อย่างน้อยก็ต้องมีฟังก์ชั่นบางอย่างที่ทำที่ฝั่ง Client Side
Support NO-SQL
เรื่องของการรองรับ NO-SQL จริงๆแล้วภาษาไหนก็รองรับ แต่จุดที่อยากให้สังเกตสำหรับโลกการเก็บข้อมูลด้วยฐานข้อมูลอีกประเภทอย่าง NO-SQL ก็คือ ไม่ว่า NO SQL จะพัฒนาด้วยภาษา C หรือ Java แต่ Format ที่มันเก็บ คือ JSON = JavaScript Object Notitaion เฮ้ย เขาเอา JavaScript Object แบบนี้ {firstName:"Apaichon", lastName:"Punopas" , getIDCard : function(){return "xxxxx-xxx-xxxx";}} มาเก็บในฐานข้อมูลได้เลยนะเออ  
Free and Standard
JavaScript ฟรี และมีองค์กรอย่าง ECMA คอยกำกับดูแลมาตรฐาน

มุมมองถัดมาก็คือ แล้วตลาดงาน JavaScript ในบ้านเราละ  https://codestar.work/research ดูข้อมูลอัพเดตได้ที่ Codestar นะครับแหล่งข้อมูลไอทีอย่างดี

ทีนี้เรามาดูมุมมองเทคโนโลยีต่างๆกันบ้าง
Web MVC Framework มันมีอะไรบ้าง
  • Angular Framework - มาแรงและค่อนข้างครบเครื่อง ทำ Data Binding Web Component Module Unit Test และค่าย Google ส่งเข้าประกวด
  • Backbone - เป็น JavaScript Framework ที่มีการใช้มานาน มีขนาดเล็ก แต่ยังขาดหลายๆฟังก์ชั่นที่อำนวยความสะดวก เช่น Data Binding , Web Component
  • EmberJS - ตัวนี้ค่อนข้างครบเครื่องเหมือน Angular แต่ดูจากหลายๆเว็บจะ Performance ด้อยกว่า และไม่ได้มาจากค่ายยักษ์ก็เลยใช้น้อยกว่า
  • Knockout ก็เป็นอีกตัวที่นิยมใช้ แต่ขาดเรื่อง Routing
ถ้าอยากจะทำ Mobile JavaScript ก็เอาไปใช้ได้นะ
แล้วจะเอาอะไรเป็น Server ละ
รู้จักอยู่ตัวเดียวครับ ก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่มีแค่ตัวเดียว เพราะไม่ต้องปวดหัวไปเปรียบเทียบหลายตัว ปัญหาใหญ่ของ JavaScript คือมีเครื่องมือมากเกินไป จนทำให้ไม่รู้ว่า โปรแกรมเมอร์จะลงทุนกับตัวไหนดี ฝั่ง Server ก็ต้อง Node JS เลย https://nodejs.org/

ในการเขียนโปรแกรมเราต้องเจอการจัดการกับ Array มากมาย เช่น ต้องการหา Array หนึ่งตัว เพื่อนำไปแก้ไขข้อมูล ต้องการกรองข้อมูลเอาเฉพาบางอย่างเพื่อไปทำบางอย่าง ต้องการ merge array และอื่นๆอีกมากมาย ก็ลองใช้นี่เลย
เมื่อทำซอฟท์แวร์ไประยะหนึ่ง เราควรพัฒนา User ให้กลายเป็น Super User ด้วยการใช้เครื่อมืออย่าง Diagram หรือ Workflow มีอะไรบ้างละ


ทำแอพไประยะหนึ่งก็ต้องการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ ต่างๆนาๆ การนำข้อมูลนำเสนอในรูปแบบกราฟฟิคก็จะช่วยให้สื่อสารกับคนทุกระดับได้ง่ายขึ้น ก็ต้องทำกราฟ


ทำแต่งานน่าเบื่อ แล้วถ้าอยากทำเกมส์ละ
ถ้าอยากจะทำ MEDIA ละ
ใน HTML5 จะรองรับ video และ audio อยู่แล้วหลายท่านอาจจะไม่สนใจ Library อื่นๆเท่าไร แต่ลองดูครับอาจจะมีอะไรน่าสนใจกว่า


อยากจะทำ AI , Machine Learning ภาษา JavaScript ก็ทำได้นะเออ

MAP API หลายท่านก็น่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว

  • google map
  • here map
  • ArcGIS
  • leafletjs
  • openlayers
  • mapbox

Internet Of Things and Robotics สาย Hardware ก็ทำได้นะครับ
  • Johnny-five
  • intel-iot-devkit
  • Cylon.js
  • webiopi
  • autobahn.ws/js
AR Augmented Reality มีกับเขาด้วย

  • oculus-bridge
  • js-aruco
  • tree.js
สรุปสั้นๆเลยว่า JavaScript ทำได้ทุกอย่าง เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในการศึกษาภาษาเดียวแล้วทำได้หลายๆอย่าง แล้วทำไมเราจะไม่เลือกมันเป็นภาษาแรกๆในการศึกษาละ JavaScript ยังสามารถเขียนได้ทั้งแบบ OOP และ Funtional ซึ่งหลายๆภาษาใหม่ๆก็ปรับตัวเป็นลูกครึ่งกันหมด แต่ข้อเสียของมันก็มีนะ ไว้มาแชร์ให้ฟัง แต่มีเทคโนโลยีหนึ่งที่เพิ่งค้นตอนทำ Slide คือ NativeScript.org ซึ่งสามารถนำ JavaScript ไปเขียน IOS , Android ได้โดยที่แปลงเป็น Native ให้เลย ซึ่งน่าสนใจมาก ผมคงเข้าไปศึกษามันเร็วๆนี้ ดาวโหลด Slide ในงานได้ที่ http://www.slideshare.net/ApaichonPunopas/javascript-day-session-1 
ไว้มาแชร์ของท่านอื่นๆในตอนต่อๆไป เรียกได้ว่าทุกคนมีของดีทั้งนั้น แค่นั่งฟังผมก็เก่งขึ้นมานิดนึงเลย
 
ที่มา:http://khadevmag.blogspot.com/2015/07/javascript-day-1.html

Laravel

  Laravel Framework คือ PHP Framework ตัวหนึ่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อพัฒนาเว็บแอพพลิเคชั่นต่างๆ ในรูปแบบ MVC (Model Views Controller) ซึ่งมีการแ...